ว่าด้วยเรื่องต้นทุน และกำไรในการทำธุรกิจ ย่อมเป็นสิ่งที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ทั้งหลาย มักจะให้ความสำคัญอันดับต้นๆ เลยก็ว่าได้ค่ะ โดยหากต้นทุนไม่คุ้มกับกำไรที่ได้ ก็อาจจะกลายเป็นขาดทุนเสียเปล่าๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของ ค่าน้ำหนักในการจัดส่งสินค้า ซึ่งนับว่าเป็นค่าใช้จ่ายหลัก ของพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์เลยทีเดียว
เพราะในการจัดส่งสินค้าแต่ละครั้ง ไปรษณีย์ หรือขนส่งเอกชน จะคิดค่าน้ำหนักของกล่องพัสดุสินค้าเพิ่มเข้าไปอีกทบ ดังนั้นรายจ่ายของแม่ค้าออนไลน์จะมากน้อยแค่ไหนนั้น จึงขึ้นอยู่กับค่าน้ำหนักของพัสดุสินค้านั้นเอง และยิ่งถ้าราคาน้ำหนักสูงเกินกว่าที่ตกลงกับลูกค้าเอาไว้ละก็ งานนี้แม่ค้าออนไลน์ทั้งหลาย คงปวดหัวตึ้บกันเป็นแถบ
ปัจจุบัน ค่าน้ำหนักพัสดุแบบทั่วไป ซึ่งคิดราคาตามกิโลกรัม เริ่มต้นกิโลกรัมแรกที่ 20 บาท และสูงสุดที่ 20 กิโลกรัมในราคา 200 บาท ในขณะที่กล่องไปรษณีย์ไซส์กลาง ก็กินน้ำหนักไปถึง 190-250 กรัมเข้าไปแล้ว นี่ยังไม่นับรวมกับสินค้าที่อยู่ภายในกล่อง และวัสดุกันกระแทก อย่าง พลาสติกกันกระแทก (air bubble) เม็ดโฟมโพลีเอทิลีน (polyethylene foam) ที่มีผลต่อค่าใช้จ่ายของแม่ค้าเสียด้วยซ้ำ ดังนั้น วิธีเดียวที่จะช่วยให้คุณลดต้นทุนค่าน้ำหนักส่วนนี้ลงได้ ก็คือ ลดน้ำหนักกล่องไปรษณีย์ให้น้อยที่สุด ทำตามได้ตามนี้เลย
1. ลดขนาดกล่องไปรษณีย์
อย่างที่เราทราบกันดีว่า กล่องไปรษณีย์ แต่ละขนาด ก็ให้น้ำหนักที่แตกต่างกันออกไป ยิ่งกล่องไซส์ใหญ่ ก็ยิ่งมีน้ำหนักมากตามไปด้วย โดยปัจจุบันกล่องไปรษณีย์ มีน้ำหนักมากถึง 350 กรัม ขณะที่กล่องขนาดเล็กมีน้ำหนักอยู่ที่ 60 กรัมโดยประมาณ ซึ่งหากคุณลดขนาดกล่องพัสดุลง 1-2 ไซส์ ก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ลงได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องเป็นขนาดที่พอดีกับสินค้าของเราด้วย
2. ใช้ถุงลมกันกระแทก
แม้ว่าเทคนิคห่อกล่องไปรษณีย์ เพื่อกันกระแทก ด้วยพลาสติกกันกระแทก (air bubble) และเม็ดโฟมโพลีเอทิลีน (polyethylene foam) จะช่วยไม่ให้สินค้าข้างในเสียได้ แต่ผลเสียที่ตามมา ก็อาจจะทำให้น้ำหนักกล่องเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมอีก ดังนั้น วิธีง่ายๆ ที่ช่วยให้คุณเซฟสินค้าข้างในไปพร้อมๆ กับเซฟราคา คือการลองใช้ถุงลมกันกระแทก แทนตัวพลาสติกกันกระแทก (air bubble) หรือเม็ดโฟมพลาสติก (polyethylene foam) ดู เพราะว่าความเบาของถุงชนิดนี้ จะทำให้กล่องไม่หนักมาก
3. ตัดฝากล่องออก
สำหรับแม่ค้าคนไหน ที่เผลอทำน้ำหนักกล่องไปรษณีย์เกิน 1 กิโลกรัม มาเล็กน้อย แต่ไม่อยากเสียเงินเพิ่มอีกหนึ่งเท่าตัว ให้คุณลองตัดกล่องบริเวณฝาชนที่รองด้านบนออกเล็กน้อยค่ะ เพื่อไม่ให้น้ำหนักของพัสดุเกิน 2 กิโลกรัม แต่มีข้อแม้ว่า เทคนิคนี้ใช้ได้เฉพาะกับกล่องไปรษณีย์ประเภทไดคัทสีขาวเท่านั้นค่ะ เพราะเวลาที่คุณตัดกล่องบริเวณฝาชนออกแล้ว ตัวกล่องก็จะยังใช้งานได้ไม่เสียงาน
4. แบ่งกล่องพัสดุเป็นกล่องเล็กย่อยๆ หลายกล่อง
เป็นอีกเทคนิค สำหรับแม่ค้าคนไหนที่ส่งของปริมาณมากๆ ให้กับลูกค้าคนเดียว และเมื่อนับรวมค่าน้ำหนัก ที่เป็นกล่องไซส์ใหญ่แล้ว ค่าเสียหายดูไม่น่าจะคุ้มสักเท่าไหร่นัก ให้คุณลองแบ่งสินค้าส่งเป็นกล่องขนาดเล็กหลายๆ กล่องดูค่ะ เพื่อแชร์น้ำหนักในการจัดส่งสินค้า เพราะข้อดีของการแชร์น้ำหนักแบบใช้กล่องเล็กหลายๆ กล่อง คือ เรทราคาอาจจะถูกกว่าการส่งด้วยกล่องใหญ่เพียงกล่องเดียว
5. เปรียบเทียบราคาน้ำหนัก
เนื่องด้วยบริการขนส่งสินค้าในปัจจุบัน กำลังเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูง พ่อค้า หรือแม่ค้าออนไลน์มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ผู้บริโภคสมัยนี้ นิยมซื้อของออนไลน์กันทุกๆ วัน จึงทำให้ ธุรกิจบริการขนส่งพัสดุ ทั้งสินค้าทั้งเล็กและใหญ่ ออกมาแข่งขันกันทำการตลาดกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Lalamove, Grab Express, Kerry Express และ Line man เป็นต้น ซึ่งข้อดีของการมีธุรกิจบริการขนส่งที่เช่นนี้ ก็คือ ทำให้เกิดการแข่งขันทางราคา ซึ่งก็จะช่วยให้เราสามารถเปรียบเทียบบริการขนส่ง และราคาค่าน้ำหนักจัดส่งที่ถูกที่สุดได้ค่ะ
ฝากทิ้งท้าย
ลองเอาเทคนิคเหล่านี้ไปปรับใช้ดู รับรองว่าช่วยลดต้นทุนในการจัดส่งสินค้าของคุณได้อย่างแน่นอน แต่นอกจากการลดต้นทุนของการจัดส่งแล้ว หากอยากลดต้นทุนเรื่องเวลาสามารถเลือกซื้ออุปกรณ์สำหรับแพ็คพัสดุ ได้ที่เว็ปไซต์ MY EXPRESS ได้เลย